เตรียมตัวกันเถอะ!!!
พอหลังจากหาเหตุผล(และข้ออ้าง)ในการที่จะมาเรียนที่ประเทศไต้หวันกันก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้จะมาเล่าต่อถึงการเตรียมตัวกันนะครัชช มีบางคนถามมาว่าทำไมต้องถึงขั้นต้องสมัครเรียน ไปแค่เที่ยวแล้วกลับไม่ได้หรอ สำหรับผมตอนที่ตัดสินใจไปเรียนเนี่ยะ ผมเห็นว่าประเทศไต้หวันมันเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออก ไปญี่ปุ่นก็ใกล้ ไปเกาหลีกก็ใกล้ ไปฮ่องกงก็ใกล้ หรือจะอุตริเป็นแรดบิน ไปจิบกาแฟสตาร์บัคที่LA แล้วบินกลับมามันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความเป็นไปได้ ไหนจะประหยัดค่าที่พักเพราะว่าอยู่หอในซึ่งค่าเช่าเมื่อคำนวนค่าที่พักค่านอนค่าน้ำค่าไฟจนแทบจะถูกเหมือนได้นอนฟรีแล้ว(เว่อร์) ยังได้ฝึกภาษาอีกต่างหาก คุ้มสุดคุ้มกับกำลังกระเป๋าขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก!!
ผมจึงตัดสินใจว่า เอาวะ!!! ไปเรียนไต้หวัน ปริญญาก็ได้ เที่ยวก็ได้เที่ยว และจากประสบการณ์เก่าครั้งก่อนที่มา ก็คิดว่าการเที่ยวรอบไต้หวันโดยที่ไม่ได้ภาษาจีนเลยมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมาก เพราะว่ามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่เกลื่อนเมือง เลยตัดสินใจว่าจะมาเรียนไต้หวันตั้งแต่ตอนนั้นเบยครัชช
สำหรับพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่เตรียมใจ ตัดสินใจกันแล้วว่าอยากจะไปเรียนที่ประเทศไต้หวัน คำถามที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เรียนสาขาอะไรกับ มหาวิทยาลัยไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถึง ม๊ากกกที่สุด ถึงขั้นที่ว่าเลือกผิดคิดจนตัวตาย (มั่ว) ความรู้สึกส่วนตัวผม ณ จุดๆนี้ ผมคิดว่าเรียนจากมหาวิทยาลัยไต้หวันมามันก็เหมือนๆกัน เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคิดว่าจะกลับมาหางานต่อที่เมืองไทย เค้าคงถามอย่างเดียวว่า "พูดภาษาจีนได้ไหม" อย่างเดียว เพราะว่าแค่ชื่อมหาวิทยาลัยแต่ละที่ ชื่อแม่งนอกจากจะอ่านยากแล้ว บางทีใบทรานสคริปก็เสือกเป็นภาษาจีนอีก เอากะมันสิเอ๊าาา]
พอหลังจากหาเหตุผล(และข้ออ้าง)ในการที่จะมาเรียนที่ประเทศไต้หวันกันก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้จะมาเล่าต่อถึงการเตรียมตัวกันนะครัชช มีบางคนถามมาว่าทำไมต้องถึงขั้นต้องสมัครเรียน ไปแค่เที่ยวแล้วกลับไม่ได้หรอ สำหรับผมตอนที่ตัดสินใจไปเรียนเนี่ยะ ผมเห็นว่าประเทศไต้หวันมันเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออก ไปญี่ปุ่นก็ใกล้ ไปเกาหลีกก็ใกล้ ไปฮ่องกงก็ใกล้ หรือจะอุตริเป็นแรดบิน ไปจิบกาแฟสตาร์บัคที่LA แล้วบินกลับมามันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความเป็นไปได้ ไหนจะประหยัดค่าที่พักเพราะว่าอยู่หอในซึ่งค่าเช่าเมื่อคำนวนค่าที่พักค่านอนค่าน้ำค่าไฟจนแทบจะถูกเหมือนได้นอนฟรีแล้ว(เว่อร์) ยังได้ฝึกภาษาอีกต่างหาก คุ้มสุดคุ้มกับกำลังกระเป๋าขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก!!
ผมจึงตัดสินใจว่า เอาวะ!!! ไปเรียนไต้หวัน ปริญญาก็ได้ เที่ยวก็ได้เที่ยว และจากประสบการณ์เก่าครั้งก่อนที่มา ก็คิดว่าการเที่ยวรอบไต้หวันโดยที่ไม่ได้ภาษาจีนเลยมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมาก เพราะว่ามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่เกลื่อนเมือง เลยตัดสินใจว่าจะมาเรียนไต้หวันตั้งแต่ตอนนั้นเบยครัชช
สำหรับพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่เตรียมใจ ตัดสินใจกันแล้วว่าอยากจะไปเรียนที่ประเทศไต้หวัน คำถามที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เรียนสาขาอะไรกับ มหาวิทยาลัยไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถึง ม๊ากกกที่สุด ถึงขั้นที่ว่าเลือกผิดคิดจนตัวตาย (มั่ว) ความรู้สึกส่วนตัวผม ณ จุดๆนี้ ผมคิดว่าเรียนจากมหาวิทยาลัยไต้หวันมามันก็เหมือนๆกัน เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคิดว่าจะกลับมาหางานต่อที่เมืองไทย เค้าคงถามอย่างเดียวว่า "พูดภาษาจีนได้ไหม" อย่างเดียว เพราะว่าแค่ชื่อมหาวิทยาลัยแต่ละที่ ชื่อแม่งนอกจากจะอ่านยากแล้ว บางทีใบทรานสคริปก็เสือกเป็นภาษาจีนอีก เอากะมันสิเอ๊าาา]
เหมือนกับหลายมหาวิทยาลัยดังๆระดับโลกที่จะมีสาขาที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของตัวเองอยู่ เหมือนเวลา คิดถึงไส้กรอกชีส ฟุตลองจะคิดถึงเซเว่น เห็นแพนด้าก็คิดถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ประเทศไต้หวันก็เช่นเดียวกันครับ หลายๆมหาวิทยาลัยไม่ได้ติดอันดับ 10
สุดยอดมหาลัยของไต้หวันนั้นไม่ได้หมายความว่า มหาวิทยาลัยนั้นไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนว่าอยากไปเรียนสาขาไหนวิชาอะไร ชั้นเรียนแบบไหน ไมว่าจะเป็นหลักสูตรปกติ
ซึ่งใช้ภาษาจีนในการเรียนแต่ใช้หนังสือเรียนเป็นภาษาอังกฤษ
โดยแล้วแต่คณะและภาควิชานั้นๆ หรือจะเรียนแบบนานาชาติ (อินเตอร์นั่นแหล่ะ)
โดยที่ใช้หนังสือเรียนและมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
งานสงกรานต์(วันวัฒนธรรมไทย)ที่มหาวิทยาลัยเฉิงกง จัดโดยสมาคมนักเรียนไทยเฉิงต้าปี 2014 ครับ
งานสงกรานต์(วันวัฒนธรรมไทย)ที่มหาวิทยาลัยเฉิงกง จัดโดยสมาคมนักเรียนไทยเฉิงต้าปี 2014 ครับ
สำหรับคนที่เลือกเรียนแบบแรก (หลักสูตรปกติ) ผมขอแนะนำว่า ระดับภาษาจีนก่อนที่จะไปเรียนต้องมีสกิลที่ถือว่า”เมพ” อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทาง
เมพมาก เพราะต้องมีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ในการทำงานกลุ่มและส่งโปรเจคต่างๆ
เพราะว่าขืนเราไปในขณะที่ภาษาจีนยังเป็นงูปลาแพะแกะอยู่
จะกลายเป็นว่าเราจะไปเป็นตัวถ่วงในการทำงานกลุ่มของเพื่อนๆเอา [ลองคิดดูว่า หลายๆคนอ่านหนังสือเสร็จพร้อมใช้ทำงานแล้ว แต่เรายังต้องมานั่งแปลเนื้อหาอยู่ มันดูจืนมิใช่น้อยเลยใช่ไหมครับ-_-"] สำหรับคนที่เลือกไปเรียนหลักสูตรเพิ่มไข่เพิ่มเครื่อง
(พิเศษ) ขอแค่ว่าภาษาอังกฤษพอจะใช้ถามทางสั่งข้าวกิน
อ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ต้องมีการพัฒนาและต่อยอดไปด้วยในระหว่างเรียน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วโปรเจคตัวจบหรือว่า วิทยานิพนธ์ ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการนั่งเทียนไถนาเขียนมันออกมากันนะครับพี่น๊องงงง
หลังจากที่ผ่านการเลือกหลักสูตรแล้วว่าอยากเรียนสาขาไหน
ต่อมาจะเป็นเรื่องของการเลือกมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งปกติ
จะแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆมาตรฐานสากลคือ มหาวิทยาลัยรัฐบาลกับมหาวิทยาลัยเอกชน
หลักๆ สิ่งที่แยกสองอย่างนี้ได้อย่างชัดเจน โดยนอกจากความหล่อ/สวยของชื่อมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่จะมีคำว่ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ (กั๋วลี่國立) ซึ่งส่วนใหญ่ที่อันดับจะสูงกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนแล้วยังถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่
“เข้ายาก ออกยาก”อีกด้วย(เพื่อนบอกมา) บางทีเวลาเดินไปตามท้องตลาดแล้วโดน
อาม่าอากงถามว่าเรียนอยู่ที่ไหน
พอบอกเค้าไปว่าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐชื่อนู้นนั่นนี่
เค้าถึงกับฮือฮาชมว่าฉลาดกันใหญ่ (รู้สึกหล่อขึ้นมาอีก 10%) และมหาวิทยาลัยแห่งชาติจะมีความขึ้นชื่อในเรื่องความ"ขลัง"ของหอพักครับ ซึ่งหอพักของมหาวิทยาลัยแห่งชาตินั้นจะมีความดึกดำบรรพ์และดั้งเดิมกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งซึ่งสร้างใหม่และมีความไฮโซและน่าอยู่กว่ามหาวิทยาลัยรัฐครับ (ไว้เดี๋ยวจะมาอัพเดตกันในตอนต่อๆไปนะจ้า)
ข้างล่างนี้จะเป็นลิ๊งอัพเดทอันดับของมหาวิทยาลัยทั่วโลก
จัดอันดับโดย The Times Higher Education World University Rankings ซึ่งเป็นของปี 2016 สามารถดูได้ว่ามหาวิทยาลัยที่เรากำลังสนใจที่จะเรียนอยู่นั้น
อยู่อันดับที่เท่าไหร่ของเอเชียและของโลกครับ
https://goo.gl/hR6151
ซึ่งถ้าแต่ละคนอยากทราบสถานะและสภาพความเป็นอยู่ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆสามารถ
เข้าไปสอบถามกันได้ที่เพจ Thai Student Association in Taiwanอครับ เพราะนอกจากตัวเพจจะเป็น
ศูนย์รวมในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างนักเรียนไทยในไต้หวันแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญ
กูรู ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในไต้หวันกันอยู่เต็มไปหมด
สามารถเข้าไปสอบถามหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้เต็มที่ และสาขาวิชาต่างๆที่โด่งดังของไต้หวันบางทีก็ไม่ได้ติดอันดับท๊อปเพราะว่ามีสาขาเด่นๆที่แตกต่างกันออกไปครับ
ยกตัวอย่างเช่นที่เมืองไถจง (Taichung)ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางตอนกลางของไต้หวัน และเป็นจุดที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปรอบไต้หวันได้อย่างสะดวกสบาย จะมีมหาวิทยาลัยเอกชนที่โด่งดังในเรื่องของเกษตรกรรมอันดับต้นๆของไต้หวัน ชื่อว่า
มหาวิทยาลัย National Chung Hsing University (NCHU)
โดยที่นั่นจะมีนักศึกษาไทยหลายคนที่ได้รับทุนไปศึกษาในระดับปริญญาต่างๆกันหลายคน
และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่งอีกด้วย (และแจกทุนเยอะมากด้วย)
หรือว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในเรื่องอักษรศาสตร์และภาษาศาสตร์อย่าง
National
Taiwan Normal University
หรือที่รู้จักกันดีว่า
“ซือต้า"โดยตั้งอยู่ในเมืองหลวงกรุงไทเป เป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในเรื่องของการผลิตครูระดับชาติของไต้หวัน
และยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวันสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจมาเรียนภาษาจีนกันที่ไต้หวันครับ
หรือสำหรับสายวิศวกรรมศาสตร์ จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงกง
หรือที่รู้จักกันว่าเฉิงต้า 成大 National Cheng Kung University
และถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยดังทางตอนใต้ของไต้หวันซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองหลวงเก่าของไต้หวัน เมืองไถหนาน (Tainan)
(ขอโฆษณามหาลัยตัวเองหน่อยละกันนะ 555) นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีมหาวิทยาลัแห่งชาติที่ดังในเรื่องที่แตกต่างกันออกไปเช่นมหาวิทยาลัยเจิ้งจื้อ National Chengchi University ที่ดังเรื่องหลักสูตรบริหารธุรกิจ หรือ มหาวิทยาลัยเจียวทง National Chiao Tung University ที่ดังเรื่องของวิทยาการคอมพิวเตอร์ และนอกจากเรื่องสาขาเรียนแล้ว ผมคิดว่า
สภาพแวดล้อมในการเรียนและสิ่งรอบตัว สังคม สภาพแวดล้อม และ ผู้คนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้คนเรารู้
หรือเข้าใจในตัวเองว่า ตัวเองชอบแบบไหน หรือ มีความถนัดในด้านไหน มากกว่าและเร็วกว่าการที่เราค้นหาสิ่งที่เราเป็นด้วยตัวของเราเอง และสามารถส่งผลต่อ ความสุขในการใช้ชีวิตในต่างแดนซึ่งจะออกผลเป็นประสบการณ์ในอนาคต
ซึ่งตอนที่ผมเลือกมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นั้น (*หมายเหตุ*ผมเรียนอยู่ที่National
Cheng Kung University ที่เมือง Tainan ครับ)
มันมาจากอินเนอร์และความชอบส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งหลังจากที่มีเพื่อนแนะนำว่ามหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติและอากาศที่เมืองนั้นถูกจริตคนไทยเป็นอย่างมาก
บวกกับที่ผมได้มีโอกาสได้ไปเห็นมหาวิทยาลัยนี้ด้วยตัวเองตอนสมัยที่ไปแลกเปลี่ยนระยะสั้น
ผมจึงตัดสินใจทันทีว่า “กุจะมาเรียนที่มอนี้แหล่ะวะ!!”
หลังจากที่เราได้ทำการเลือกว่าอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนแล้ว
ต่อมาจะเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจว่าจะไปเรียน
หรือไม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยนั้นๆ นั่นก็คือเรื่อง “ทุนการศึกษา”ครับ
ผมมั่นใจว่าคนไทยร้อยทั้งร้อย (และหลายชาติอีกหลายร้อย)
ต่างก็แสวงหาทุนการศึกษาที่แต่ละมหาวิทยาลัย รัฐบาลและองค์กรในแต่ละประเทศ เสนอทุนให้นักเรียนต่างชาติและต่างด้าวอย่างเราๆได้เรียนกัน
เหตุผลหนึ่งที่ผมได้ทราบมาว่าทำไม๊ทำไมเค้าถึงยอมออกเงินค่าเล่าเรียนให้ชาวต่างชาติอย่างเราได้เรียนฟรีๆเนี่ยะ ส่วนหนึ่งคือเพื่อที่จะได้โปรโมทตัวของมหาวิทยาลัยว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงถึงกับ ดึงนักศึกษาจากหลายๆประเทศมาเรียน ซึ่งจะนอกจากจะเป็นการฝึกตัวบุคลากรให้ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ตัวมหาวิทยาลัยดูมีความไฮโซขึ้นเวลาที่มีชาวต่างชาติหัวแดงหัวทองหัวดมาเดินในมหาวิทยาลัยนั่นเอง โดยทุนการศึกษาที่เค้านิยมแจกกันในประเทศไต้หวันนั้น แบ่งออกได้เป็น 3.5 ประเภทใหญ่ๆตามนี้ครับ
เหตุผลหนึ่งที่ผมได้ทราบมาว่าทำไม๊ทำไมเค้าถึงยอมออกเงินค่าเล่าเรียนให้ชาวต่างชาติอย่างเราได้เรียนฟรีๆเนี่ยะ ส่วนหนึ่งคือเพื่อที่จะได้โปรโมทตัวของมหาวิทยาลัยว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงถึงกับ ดึงนักศึกษาจากหลายๆประเทศมาเรียน ซึ่งจะนอกจากจะเป็นการฝึกตัวบุคลากรให้ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ตัวมหาวิทยาลัยดูมีความไฮโซขึ้นเวลาที่มีชาวต่างชาติหัวแดงหัวทองหัวดมาเดินในมหาวิทยาลัยนั่นเอง โดยทุนการศึกษาที่เค้านิยมแจกกันในประเทศไต้หวันนั้น แบ่งออกได้เป็น 3.5 ประเภทใหญ่ๆตามนี้ครับ
1. ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOFA
โดยหลักๆทุนนี้จะให้ทุนการศึกษามาประมาณ 30,000 TWD ต่อเดือน
โดยที่เราจะต้องใช้ในการบริหารในการจ่ายค่าเทอม จ่ายค่าหอพัก
และค่ากินค่าอยู่เองครับผม โดยสามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไข ณ
ปัจจุบันได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.mofa.gov.tw/en/cp.aspx?n=A5C28AD214C3FD7C
2.ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOE (อัพเดต 11/1/2017)
โดยทุนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทุนที่ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน
ซึ่งเราจะต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
TOCFL 4
TOEIC 750
IELTS 6.0
TOEFL 79
GPA: ปริญญาตรี 2.6 ปริญญาโท/เอก 3.0
ซึ่งทุนนี้จะครอบคลุมรายละเอียดดังนี้
2.1 ค่าเทอมและหน่วยกิต สูงสุดเทอมละ 40,000 TWD โดยถ้าเกินกว่านั้นมหาวิทยาลัยหรือเราอาจจะต้องเป็นผู้ออกเพิ่มเติม
ซึ่งส่วนใหญ่ที่เกินมามหาวิทยาลัยจะออกให้ โดยอาจจะต้องเช็คกับทางมหาวิทยาลัยที่จะไปเข้าเรียนอีกที
2.2 ค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยนักศึกษาปริญญาโทและเอก ได้ 20,000 TWD
ซึ่งถ้าอยู่ในเมืองที่ไม่ใช่ไทเปยังไงก็พอครับ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมืองไทเปอาจจะจำกัดจำเขียดนิดนึง (ตีเฉลี่ยไปว่าวันนึงอยู่ไทเปใช้วันละ 300 แบบเลขกลมๆ)
และส่วนที่ทุนที่รัฐบาลออกให้จะไม่รวม
1.ค่าหอพัก : ถ้าอยู่หอใน ในเมืองไทเปจะเฉลี่ยตกเทอมละ 10,000 TWD เดือนละ 2,000~3,000 NTD ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องออก ออกแต่การ์ดสำหรับใช้แอร์ในห้อง
2.ค่าประกันสุขภาพ : นักศึกษาทุกคนจะต้องทำ ซึ่งเลือกได้ว่าจะทำประกันกับมหาลัย หรือบริษัทประกันข้างนอก หรือ ถ้าอยู่ในระยะยาวเราจะได้ทำประกันสุขภาพกับรัฐ(NHI) ซึ่งดีงามและถูก
3.ค่าหนังสือ ค่าตั๋วเครื่องบิน
โดยสามารถอ่านวิธีการส่งเรื่องได้ดังภาพข้างล่างนี้
2.ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOE (อัพเดต 11/1/2017)
โดยทุนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทุนที่ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน
ซึ่งเราจะต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
TOCFL 4
TOEIC 750
IELTS 6.0
TOEFL 79
GPA: ปริญญาตรี 2.6 ปริญญาโท/เอก 3.0
ซึ่งทุนนี้จะครอบคลุมรายละเอียดดังนี้
2.1 ค่าเทอมและหน่วยกิต สูงสุดเทอมละ 40,000 TWD โดยถ้าเกินกว่านั้นมหาวิทยาลัยหรือเราอาจจะต้องเป็นผู้ออกเพิ่มเติม
ซึ่งส่วนใหญ่ที่เกินมามหาวิทยาลัยจะออกให้ โดยอาจจะต้องเช็คกับทางมหาวิทยาลัยที่จะไปเข้าเรียนอีกที
2.2 ค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยนักศึกษาปริญญาโทและเอก ได้ 20,000 TWD
ซึ่งถ้าอยู่ในเมืองที่ไม่ใช่ไทเปยังไงก็พอครับ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมืองไทเปอาจจะจำกัดจำเขียดนิดนึง (ตีเฉลี่ยไปว่าวันนึงอยู่ไทเปใช้วันละ 300 แบบเลขกลมๆ)
และส่วนที่ทุนที่รัฐบาลออกให้จะไม่รวม
1.ค่าหอพัก : ถ้าอยู่หอใน ในเมืองไทเปจะเฉลี่ยตกเทอมละ 10,000 TWD เดือนละ 2,000~3,000 NTD ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องออก ออกแต่การ์ดสำหรับใช้แอร์ในห้อง
2.ค่าประกันสุขภาพ : นักศึกษาทุกคนจะต้องทำ ซึ่งเลือกได้ว่าจะทำประกันกับมหาลัย หรือบริษัทประกันข้างนอก หรือ ถ้าอยู่ในระยะยาวเราจะได้ทำประกันสุขภาพกับรัฐ(NHI) ซึ่งดีงามและถูก
3.ค่าหนังสือ ค่าตั๋วเครื่องบิน
โดยสามารถอ่านวิธีการส่งเรื่องได้ดังภาพข้างล่างนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Taiwan Education Center Thailand |
2. ทุนการศึกษา ICDF
สำหรับทุนนี้จะให้ทุนการศึกษาน้อยกว่าทุนของรัฐบาลโดยจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 TWD ต่อเดือน
แต่ทางโครงการจะดูแลรับผิดชอบในเรื่องของค่าเล่าเรียน
ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในการเรียนทุกอย่างให้ แต่จะรับจำนวนที่ค่อนข้างจำกัดมาก
เมื่อเทียบกับทุนรัฐบาล รายละเอียดสามารถตามไปเสพกันได้ข้างล่างเลยจ้า
http://www.icdf.org.tw/ct.asp?xItem=12505&CtNode=30316&mp=2
3.
ทุนการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ
ถ้าเราไม่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการทั้งสองในด้านบนแล้วไซร์
อย่าเสียใจไปเพราะว่าแต่ละมหาวิทยาลัยต่างๆ
จะมีโครงการยกเว้นค่าเล่าเรียนให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติ
โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยหลักๆแล้วจะยกเว้นค่าเล่าเรียน
และค่าหอพักให้ และมีเงินทุนการศึกษาให้ใช้ (แต่เป็นแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย)
โดยจะอยู่ที่ประมาณ 3000-5000 NTD ต่อเดือน โดยบางทีอาจจะมากกว่านั้น
ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัย
ตัวอย่างของงานที่มักจะเห็นได้บ่อยๆ คือ เด็กเดินเอกสาร
พนักงานทำความสะอาดห้องเรียน ผู้ช่วยครูในห้องเรียน และอื่นๆอีกมากมาย
0.5 ทุน พ.ก. (พ่อกรูหรือ ม.ก. แม่กรู)
เป็นทุนที่ไม่แนะนำให้ขอเพราะว่าโดยปกติแล้วมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งในไต้หวันจะมีโครงการให้ทุนเรียนฟรีกับนักศึกษาค่อนข้างเยอะ
เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในเอเชีย เว้นแต่ว่ามหาวิทยาลัยบางแห่ง
สามารถตอบรับเราเข้าเรียนได้
แต่จะไม่มีการให้ทุนการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยดังๆของทางรัฐบาล
(เห็นเค้าว่าตอนนี้ NTU (National Taiwan University หรือที่รู้จักกันดีว่า
ไถต้า台大 ได้ลดจำนวนทุนของนักศึกษาต่างชาติลง
ถูกต้องผิดพลาดประการใดขอรบกวนผู้รู้มาคอนเฟิร์มด้วยก๊าบบ )และบวกกับนโยบายของรัฐบาลไต้หวันในสมัยที่ผมเรียน
เค้าได้ทำการลดเงินทุนสนับสนุนในส่วนนี้ลง
เลยทำให้รุ่นผมเป็นรุ่นที่ได้เงินสนับสนุนต่อเดือนน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า(เศร้าแพรบ)
ซึ่งมันเป็นความพลาดของตัวเองที่คิดว่าทุนของมหาวิทยาลัยก็ถือว่าดีถมแล้ว
เพราะเงื่อนไขตอนที่สมัครเรียน เค้ายกเว้นค่าเล่าเรียนกับค่าหอพักของมหาวิทยาลัยให้
ส่วนเราต้องรับผิดชอบแค่ค่าใช้ชีวิตไปวันๆ
แต่พอหลังจากที่รู้ว่ามันมีทุนรัฐบาลอยู่บนโลกนี้
จึงทำให้ผมได้ระลึกได้ว่าผมได้พลาดพลั้งโอกาสที่จะเป็นนักเรียนนอกสุดไฮโซ มีคำว่า “นักเรียนทุนรัฐบาล”พ่วงท้ายกะเค้าไปซะนี่!! ดังนั้นหลังจากที่เลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะเข้าไปเรียนแล้ว ผมแนะนำว่าควรศึกษาดูว่ามหาวิทยาลัยนั้น สามารถสมัครทุนอะไรได้บ้าง
เพราะว่าแต่ละทุนก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปจ้าโดยเพื่อนๆสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยต่างๆได้ที่เว็บไซต์ของทางฝ่ายวิเทศและฝ่ายดูแลนักศึกษาต่างประเทศ ในไต้หวันเค้าจะเรียกหน่วยงานนี้ว่า OIA (Office of International Affairs) ซึ่งจะดูแลในเรื่องของการรับใบสมัครของนักศึกษาชาวต่างชาติ การประกาศเปิดรับสมัครนักศึกษา และดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาต่างชาติที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นๆ โดยคีย์เวิดที่ใช้เสิร์ชส่วนใหญ่ก็จะเป็น "OIA และชื่อย่อของมหาลัยนั้นๆเช่น [OIA NCKU] แล้วกูเกิ้ล มันก็จะออกมาเลยจ้า ลองไปหากันดูนะครับ
Highlight Summary:
- ทุนการศึกษาที่แจกสำหรับเรียนที่ไต้หวันส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นสองทุนคือทุนจากรัฐบาลไต้หวันและทุนของมหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยของรัฐบาลส่วนใหญ่จะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าและสามารถช่วยให้หางานได้ง่ายกว่ามหาวิทยาลัยเอกชน (เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งเท่านั้น)
- เอกสารยืนยันคะแนนการสอบภาษาอังกฤษต่างๆจำเป็นและควรจะต้องมีคะแนนที่สูงในการที่จะยื่นเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในไต้หวัน
- ควรมีเงินใช้ส่วนตัวระหว่างที่เรียนด้วยเพราะแต่ละทุนมีจำนวนที่ให้ไม่เท่ากัน
Puipui Adventure
#puipuiadventure
ปล.โพสหน้าจะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าและเตรียมเอกสารนะครัช เขียนดีไม่ดี อยากให้เพิ่มเติมตรงไหน หรือมีข้อติชม ให้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถฝากคอมเม้นท์กันไว้ได้เลยครับผม ขอบคุณผู้อ่านทุกคนจ้า :D
ตามไปดูชีวิตไร้สาระประจำวันของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure