Friday, December 26, 2014

ตอนที่4 :ไปแบบนักเรียนทุน ใช้งบน้อย เที่ยวกันยาวๆ



เตรียมตัวกันเถอะ!!!
  
พอหลังจากหาเหตุผล(และข้ออ้าง)ในการที่จะมาเรียนที่ประเทศไต้หวันกันก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้จะมาเล่าต่อถึงการเตรียมตัวกันนะครัชช มีบางคนถามมาว่าทำไมต้องถึงขั้นต้องสมัครเรียน ไปแค่เที่ยวแล้วกลับไม่ได้หรอ สำหรับผมตอนที่ตัดสินใจไปเรียนเนี่ยะ ผมเห็นว่าประเทศไต้หวันมันเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออก ไปญี่ปุ่นก็ใกล้ ไปเกาหลีกก็ใกล้ ไปฮ่องกงก็ใกล้ หรือจะอุตริเป็นแรดบิน ไปจิบกาแฟสตาร์บัคที่LA แล้วบินกลับมามันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความเป็นไปได้ ไหนจะประหยัดค่าที่พักเพราะว่าอยู่หอในซึ่งค่าเช่าเมื่อคำนวนค่าที่พักค่านอนค่าน้ำค่าไฟจนแทบจะถูกเหมือนได้นอนฟรีแล้ว(เว่อร์) ยังได้ฝึกภาษาอีกต่างหาก คุ้มสุดคุ้มกับกำลังกระเป๋าขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก!!

ผมจึงตัดสินใจว่า เอาวะ!!! ไปเรียนไต้หวัน ปริญญาก็ได้ เที่ยวก็ได้เที่ยว และจากประสบการณ์เก่าครั้งก่อนที่มา ก็คิดว่าการเที่ยวรอบไต้หวันโดยที่ไม่ได้ภาษาจีนเลยมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมาก เพราะว่ามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่เกลื่อนเมือง เลยตัดสินใจว่าจะมาเรียนไต้หวันตั้งแต่ตอนนั้นเบยครัชช

 สำหรับพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่เตรียมใจ ตัดสินใจกันแล้วว่าอยากจะไปเรียนที่ประเทศไต้หวัน คำถามที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เรียนสาขาอะไรกับ มหาวิทยาลัยไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถึง ม๊ากกกที่สุด ถึงขั้นที่ว่าเลือกผิดคิดจนตัวตาย (มั่ว) ความรู้สึกส่วนตัวผม ณ จุดๆนี้ ผมคิดว่าเรียนจากมหาวิทยาลัยไต้หวันมามันก็เหมือนๆกัน เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคิดว่าจะกลับมาหางานต่อที่เมืองไทย เค้าคงถามอย่างเดียวว่า "พูดภาษาจีนได้ไหม" อย่างเดียว เพราะว่าแค่ชื่อมหาวิทยาลัยแต่ละที่ ชื่อแม่งนอกจากจะอ่านยากแล้ว บางทีใบทรานสคริปก็เสือกเป็นภาษาจีนอีก เอากะมันสิเอ๊าาา]

 เหมือนกับหลายมหาวิทยาลัยดังๆระดับโลกที่จะมีสาขาที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของตัวเองอยู่ เหมือนเวลา คิดถึงไส้กรอกชีส ฟุตลองจะคิดถึงเซเว่น เห็นแพนด้าก็คิดถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ประเทศไต้หวันก็เช่นเดียวกันครับ หลายๆมหาวิทยาลัยไม่ได้ติดอันดับ 10 สุดยอดมหาลัยของไต้หวันนั้นไม่ได้หมายความว่า มหาวิทยาลัยนั้นไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนว่าอยากไปเรียนสาขาไหนวิชาอะไร ชั้นเรียนแบบไหน ไมว่าจะเป็นหลักสูตรปกติ ซึ่งใช้ภาษาจีนในการเรียนแต่ใช้หนังสือเรียนเป็นภาษาอังกฤษ โดยแล้วแต่คณะและภาควิชานั้นๆ หรือจะเรียนแบบนานาชาติ (อินเตอร์นั่นแหล่ะ) โดยที่ใช้หนังสือเรียนและมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด 


 งานสงกรานต์(วันวัฒนธรรมไทย)ที่มหาวิทยาลัยเฉิงกง จัดโดยสมาคมนักเรียนไทยเฉิงต้าปี 2014 ครับ


สำหรับคนที่เลือกเรียนแบบแรก (หลักสูตรปกติ) ผมขอแนะนำว่า ระดับภาษาจีนก่อนที่จะไปเรียนต้องมีสกิลที่ถือว่าเมพอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทาง เมพมาก เพราะต้องมีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นและอาจารย์ในการทำงานกลุ่มและส่งโปรเจคต่างๆ เพราะว่าขืนเราไปในขณะที่ภาษาจีนยังเป็นงูปลาแพะแกะอยู่ จะกลายเป็นว่าเราจะไปเป็นตัวถ่วงในการทำงานกลุ่มของเพื่อนๆเอา [ลองคิดดูว่า หลายๆคนอ่านหนังสือเสร็จพร้อมใช้ทำงานแล้ว แต่เรายังต้องมานั่งแปลเนื้อหาอยู่ มันดูจืนมิใช่น้อยเลยใช่ไหมครับ-_-"] สำหรับคนที่เลือกไปเรียนหลักสูตรเพิ่มไข่เพิ่มเครื่อง (พิเศษ) ขอแค่ว่าภาษาอังกฤษพอจะใช้ถามทางสั่งข้าวกิน อ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ต้องมีการพัฒนาและต่อยอดไปด้วยในระหว่างเรียน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วโปรเจคตัวจบหรือว่า วิทยานิพนธ์ ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการนั่งเทียนไถนาเขียนมันออกมากันนะครับพี่น๊องงงง

 หลังจากที่ผ่านการเลือกหลักสูตรแล้วว่าอยากเรียนสาขาไหน ต่อมาจะเป็นเรื่องของการเลือกมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งปกติ จะแบ่งเป็นสองประเภทหลักๆมาตรฐานสากลคือ มหาวิทยาลัยรัฐบาลกับมหาวิทยาลัยเอกชน หลักๆ สิ่งที่แยกสองอย่างนี้ได้อย่างชัดเจน โดยนอกจากความหล่อ/สวยของชื่อมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่จะมีคำว่ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ (กั๋วลี่國立) ซึ่งส่วนใหญ่ที่อันดับจะสูงกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนแล้วยังถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ เข้ายาก ออกยาก”อีกด้วย(เพื่อนบอกมา) บางทีเวลาเดินไปตามท้องตลาดแล้วโดน อาม่าอากงถามว่าเรียนอยู่ที่ไหน พอบอกเค้าไปว่าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐชื่อนู้นนั่นนี่ เค้าถึงกับฮือฮาชมว่าฉลาดกันใหญ่ (รู้สึกหล่อขึ้นมาอีก 10%) และมหาวิทยาลัยแห่งชาติจะมีความขึ้นชื่อในเรื่องความ"ขลัง"ของหอพักครับ ซึ่งหอพักของมหาวิทยาลัยแห่งชาตินั้นจะมีความดึกดำบรรพ์และดั้งเดิมกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งซึ่งสร้างใหม่และมีความไฮโซและน่าอยู่กว่ามหาวิทยาลัยรัฐครับ (ไว้เดี๋ยวจะมาอัพเดตกันในตอนต่อๆไปนะจ้า) 

ข้างล่างนี้จะเป็นลิ๊งอัพเดทอันดับของมหาวิทยาลัยทั่วโลก จัดอันดับโดย  The Times Higher Education World University Rankings ซึ่งเป็นของปี 2016 สามารถดูได้ว่ามหาวิทยาลัยที่เรากำลังสนใจที่จะเรียนอยู่นั้น อยู่อันดับที่เท่าไหร่ของเอเชียและของโลกครับ


https://goo.gl/hR6151

ซึ่งถ้าแต่ละคนอยากทราบสถานะและสภาพความเป็นอยู่ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆสามารถ เข้าไปสอบถามกันได้ที่เพจ Thai Student Association in Taiwanอครับ เพราะนอกจากตัวเพจจะเป็น ศูนย์รวมในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างนักเรียนไทยในไต้หวันแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญ กูรู ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในไต้หวันกันอยู่เต็มไปหมด สามารถเข้าไปสอบถามหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้เต็มที่ และสาขาวิชาต่างๆที่โด่งดังของไต้หวันบางทีก็ไม่ได้ติดอันดับท๊อปเพราะว่ามีสาขาเด่นๆที่แตกต่างกันออกไปครับ
ยกตัวอย่างเช่นที่เมืองไถจง (Taichung)ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางตอนกลางของไต้หวัน และเป็นจุดที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปรอบไต้หวันได้อย่างสะดวกสบาย จะมีมหาวิทยาลัยเอกชนที่โด่งดังในเรื่องของเกษตรกรรมอันดับต้นๆของไต้หวัน ชื่อว่า


มหาวิทยาลัย National Chung Hsing University (NCHU) 


 โดยที่นั่นจะมีนักศึกษาไทยหลายคนที่ได้รับทุนไปศึกษาในระดับปริญญาต่างๆกันหลายคน และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่งอีกด้วย (และแจกทุนเยอะมากด้วย) หรือว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในเรื่องอักษรศาสตร์และภาษาศาสตร์อย่าง

National Taiwan Normal University


 หรือที่รู้จักกันดีว่า ซือต้า"โดยตั้งอยู่ในเมืองหลวงกรุงไทเป เป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในเรื่องของการผลิตครูระดับชาติของไต้หวัน และยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวันสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจมาเรียนภาษาจีนกันที่ไต้หวันครับ หรือสำหรับสายวิศวกรรมศาสตร์ จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงกง หรือที่รู้จักกันว่าเฉิงต้า 成大 National Cheng Kung University

และถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยดังทางตอนใต้ของไต้หวันซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองหลวงเก่าของไต้หวัน เมืองไถหนาน (Tainan) (ขอโฆษณามหาลัยตัวเองหน่อยละกันนะ 555) นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีมหาวิทยาลัแห่งชาติที่ดังในเรื่องที่แตกต่างกันออกไปเช่นมหาวิทยาลัยเจิ้งจื้อ National Chengchi University ที่ดังเรื่องหลักสูตรบริหารธุรกิจ หรือ มหาวิทยาลัยเจียวทง National Chiao Tung University ที่ดังเรื่องของวิทยาการคอมพิวเตอร์ และนอกจากเรื่องสาขาเรียนแล้ว ผมคิดว่า สภาพแวดล้อมในการเรียนและสิ่งรอบตัว สังคม สภาพแวดล้อม และ ผู้คนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้คนเรารู้ หรือเข้าใจในตัวเองว่า ตัวเองชอบแบบไหน หรือ มีความถนัดในด้านไหน มากกว่าและเร็วกว่าการที่เราค้นหาสิ่งที่เราเป็นด้วยตัวของเราเอง และสามารถส่งผลต่อ ความสุขในการใช้ชีวิตในต่างแดนซึ่งจะออกผลเป็นประสบการณ์ในอนาคต ซึ่งตอนที่ผมเลือกมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่นั้น (*หมายเหตุ*ผมเรียนอยู่ที่National Cheng Kung University ที่เมือง Tainan ครับ) มันมาจากอินเนอร์และความชอบส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งหลังจากที่มีเพื่อนแนะนำว่ามหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติและอากาศที่เมืองนั้นถูกจริตคนไทยเป็นอย่างมาก บวกกับที่ผมได้มีโอกาสได้ไปเห็นมหาวิทยาลัยนี้ด้วยตัวเองตอนสมัยที่ไปแลกเปลี่ยนระยะสั้น ผมจึงตัดสินใจทันทีว่า กุจะมาเรียนที่มอนี้แหล่ะวะ!!”
 
หลังจากที่เราได้ทำการเลือกว่าอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนแล้ว ต่อมาจะเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจว่าจะไปเรียน หรือไม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยนั้นๆ นั่นก็คือเรื่อง ทุนการศึกษาครับ ผมมั่นใจว่าคนไทยร้อยทั้งร้อย (และหลายชาติอีกหลายร้อย) ต่างก็แสวงหาทุนการศึกษาที่แต่ละมหาวิทยาลัย รัฐบาลและองค์กรในแต่ละประเทศ เสนอทุนให้นักเรียนต่างชาติและต่างด้าวอย่างเราๆได้เรียนกัน 

เหตุผลหนึ่งที่ผมได้ทราบมาว่าทำไม๊ทำไมเค้าถึงยอมออกเงินค่าเล่าเรียนให้ชาวต่างชาติอย่างเราได้เรียนฟรีๆเนี่ยะ ส่วนหนึ่งคือเพื่อที่จะได้โปรโมทตัวของมหาวิทยาลัยว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงถึงกับ ดึงนักศึกษาจากหลายๆประเทศมาเรียน ซึ่งจะนอกจากจะเป็นการฝึกตัวบุคลากรให้ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ตัวมหาวิทยาลัยดูมีความไฮโซขึ้นเวลาที่มีชาวต่างชาติหัวแดงหัวทองหัวดมาเดินในมหาวิทยาลัยนั่นเอง โดยทุนการศึกษาที่เค้านิยมแจกกันในประเทศไต้หวันนั้น แบ่งออกได้เป็น 3.5 ประเภทใหญ่ๆตามนี้ครับ 

1. ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOFA
โดยหลักๆทุนนี้จะให้ทุนการศึกษามาประมาณ 30,000 TWD ต่อเดือน โดยที่เราจะต้องใช้ในการบริหารในการจ่ายค่าเทอม จ่ายค่าหอพัก และค่ากินค่าอยู่เองครับผม โดยสามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไข ณ ปัจจุบันได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.mofa.gov.tw/en/cp.aspx?n=A5C28AD214C3FD7C

2.ทุนรัฐบาลไต้หวัน MOE  (อัพเดต 11/1/2017)
โดยทุนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทุนที่ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน
ซึ่งเราจะต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
TOCFL 4
TOEIC 750
IELTS 6.0
TOEFL 79
GPA: ปริญญาตรี 2.6 ปริญญาโท/เอก 3.0  
ซึ่งทุนนี้จะครอบคลุมรายละเอียดดังนี้
2.1 ค่าเทอมและหน่วยกิต สูงสุดเทอมละ 40,000 TWD โดยถ้าเกินกว่านั้นมหาวิทยาลัยหรือเราอาจจะต้องเป็นผู้ออกเพิ่มเติม

ซึ่งส่วนใหญ่ที่เกินมามหาวิทยาลัยจะออกให้ โดยอาจจะต้องเช็คกับทางมหาวิทยาลัยที่จะไปเข้าเรียนอีกที 
 
2.2 ค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยนักศึกษาปริญญาโทและเอก ได้ 20,000 TWD

ซึ่งถ้าอยู่ในเมืองที่ไม่ใช่ไทเปยังไงก็พอครับ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมืองไทเปอาจจะจำกัดจำเขียดนิดนึง (ตีเฉลี่ยไปว่าวันนึงอยู่ไทเปใช้วันละ 300 แบบเลขกลมๆ)

และส่วนที่ทุนที่รัฐบาลออกให้จะไม่รวม 


1.ค่าหอพัก : ถ้าอยู่หอใน ในเมืองไทเปจะเฉลี่ยตกเทอมละ 10,000 TWD เดือนละ 2,000~3,000 NTD ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องออก ออกแต่การ์ดสำหรับใช้แอร์ในห้อง
2.ค่าประกันสุขภาพ : นักศึกษาทุกคนจะต้องทำ ซึ่งเลือกได้ว่าจะทำประกันกับมหาลัย หรือบริษัทประกันข้างนอก หรือ ถ้าอยู่ในระยะยาวเราจะได้ทำประกันสุขภาพกับรัฐ(NHI) ซึ่งดีงามและถูก
3.ค่าหนังสือ ค่าตั๋วเครื่องบิน  

โดยสามารถอ่านวิธีการส่งเรื่องได้ดังภาพข้างล่างนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Taiwan Education Center Thailand
 

2. ทุนการศึกษา ICDF
สำหรับทุนนี้จะให้ทุนการศึกษาน้อยกว่าทุนของรัฐบาลโดยจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 TWD ต่อเดือน แต่ทางโครงการจะดูแลรับผิดชอบในเรื่องของค่าเล่าเรียน ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในการเรียนทุกอย่างให้ แต่จะรับจำนวนที่ค่อนข้างจำกัดมาก เมื่อเทียบกับทุนรัฐบาล รายละเอียดสามารถตามไปเสพกันได้ข้างล่างเลยจ้า
http://www.icdf.org.tw/ct.asp?xItem=12505&CtNode=30316&mp=2

3. ทุนการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ
ถ้าเราไม่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการทั้งสองในด้านบนแล้วไซร์ อย่าเสียใจไปเพราะว่าแต่ละมหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีโครงการยกเว้นค่าเล่าเรียนให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติ โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยหลักๆแล้วจะยกเว้นค่าเล่าเรียน และค่าหอพักให้ และมีเงินทุนการศึกษาให้ใช้ (แต่เป็นแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย) โดยจะอยู่ที่ประมาณ 3000-5000 NTD ต่อเดือน โดยบางทีอาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัย ตัวอย่างของงานที่มักจะเห็นได้บ่อยๆ คือ เด็กเดินเอกสาร พนักงานทำความสะอาดห้องเรียน ผู้ช่วยครูในห้องเรียน และอื่นๆอีกมากมาย

0.5 ทุน พ.. (พ่อกรูหรือ ม.. แม่กรู)
เป็นทุนที่ไม่แนะนำให้ขอเพราะว่าโดยปกติแล้วมหาวิทยาลัยหลายๆแห่งในไต้หวันจะมีโครงการให้ทุนเรียนฟรีกับนักศึกษาค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศในเอเชีย เว้นแต่ว่ามหาวิทยาลัยบางแห่ง สามารถตอบรับเราเข้าเรียนได้  แต่จะไม่มีการให้ทุนการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยดังๆของทางรัฐบาล (เห็นเค้าว่าตอนนี้ NTU (National Taiwan University หรือที่รู้จักกันดีว่า ไถต้า台大 ได้ลดจำนวนทุนของนักศึกษาต่างชาติลง ถูกต้องผิดพลาดประการใดขอรบกวนผู้รู้มาคอนเฟิร์มด้วยก๊าบบ )และบวกกับนโยบายของรัฐบาลไต้หวันในสมัยที่ผมเรียน เค้าได้ทำการลดเงินทุนสนับสนุนในส่วนนี้ลง เลยทำให้รุ่นผมเป็นรุ่นที่ได้เงินสนับสนุนต่อเดือนน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า(เศร้าแพรบ)   ซึ่งมันเป็นความพลาดของตัวเองที่คิดว่าทุนของมหาวิทยาลัยก็ถือว่าดีถมแล้ว เพราะเงื่อนไขตอนที่สมัครเรียน เค้ายกเว้นค่าเล่าเรียนกับค่าหอพักของมหาวิทยาลัยให้ ส่วนเราต้องรับผิดชอบแค่ค่าใช้ชีวิตไปวันๆ แต่พอหลังจากที่รู้ว่ามันมีทุนรัฐบาลอยู่บนโลกนี้ จึงทำให้ผมได้ระลึกได้ว่าผมได้พลาดพลั้งโอกาสที่จะเป็นนักเรียนนอกสุดไฮโซ มีคำว่า นักเรียนทุนรัฐบาลพ่วงท้ายกะเค้าไปซะนี่!! ดังนั้นหลังจากที่เลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะเข้าไปเรียนแล้ว ผมแนะนำว่าควรศึกษาดูว่ามหาวิทยาลัยนั้น สามารถสมัครทุนอะไรได้บ้าง เพราะว่าแต่ละทุนก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปจ้า

โดยเพื่อนๆสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยต่างๆได้ที่เว็บไซต์ของทางฝ่ายวิเทศและฝ่ายดูแลนักศึกษาต่างประเทศ ในไต้หวันเค้าจะเรียกหน่วยงานนี้ว่า OIA (Office of International Affairs) ซึ่งจะดูแลในเรื่องของการรับใบสมัครของนักศึกษาชาวต่างชาติ การประกาศเปิดรับสมัครนักศึกษา และดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาต่างชาติที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นๆ โดยคีย์เวิดที่ใช้เสิร์ชส่วนใหญ่ก็จะเป็น "OIA และชื่อย่อของมหาลัยนั้นๆเช่น [OIA NCKU] แล้วกูเกิ้ล มันก็จะออกมาเลยจ้า ลองไปหากันดูนะครับ


Highlight Summary:
- ทุนการศึกษาที่แจกสำหรับเรียนที่ไต้หวันส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นสองทุนคือทุนจากรัฐบาลไต้หวันและทุนของมหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยของรัฐบาลส่วนใหญ่จะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าและสามารถช่วยให้หางานได้ง่ายกว่ามหาวิทยาลัยเอกชน (เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งเท่านั้น)
- เอกสารยืนยันคะแนนการสอบภาษาอังกฤษต่างๆจำเป็นและควรจะต้องมีคะแนนที่สูงในการที่จะยื่นเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในไต้หวัน
- ควรมีเงินใช้ส่วนตัวระหว่างที่เรียนด้วยเพราะแต่ละทุนมีจำนวนที่ให้ไม่เท่ากัน




Puipui Adventure
#puipuiadventure



ปล.โพสหน้าจะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่าและเตรียมเอกสารนะครัช เขียนดีไม่ดี อยากให้เพิ่มเติมตรงไหน หรือมีข้อติชม ให้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถฝากคอมเม้นท์กันไว้ได้เลยครับผม ขอบคุณผู้อ่านทุกคนจ้า :D



ตามไปดูชีวิตไร้สาระประจำวันของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure

 

Thursday, December 25, 2014

ตอนที่3: First time Taiwan



เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า
ผมเคยอ่านหนังสือของใครสักคน (คล้ายๆว่าจะเป็นพี่นิ้วกลม) เหมือนจะบอกประมาณว่า......
ก่อนเราจะออกเดินทาง เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาอะไรใส่กระเป๋าซึ่งมีพื้นที่จำกัดอันน้อยนิดไปกับเราได้บ้าง
แต่ขากลับนั้นยากกว่า เพราะว่าระหว่างที่เราเดินทางอยู่นั้นเราไม่รู้ว่าเราจะได้เจออะไร และจะเอา
อะไรใส่กระเป๋ากลับมากับเราได้
หลังจากที่ผมอ่านข้อความนี้เสร็จ นอกจากจะได้รับความคมคายมาจากผู้เขียน (ซึ่งน่าจะเป็นพี่นิ้วกลม) ว่าบางทีเราควรจะเผื่อพื้นที่ในกระเป๋าขาไปไว้บ้าง เพื่อที่เราจะได้เปิดรับสิ่งใหม่ๆหรือ อะไรที่เราจะไปเจอและนำกลับมากับเราหลังจากที่การเดินทางสิ้นสุดลงแต่พอหลังจากที่ผมได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแล้ว ต้องมานั่งคิดกันใหม่หมดเลยครับ -_-"

วิธีการจัดกระเป๋าของผมครั้งที่เริ่มเดินทางไปต่างประเทศนั้น ของที่ใส่เข้าไปนี่จะเข้าข่ายอารมณ์แบบว่า โลกแตก เอเลี่ยนบุก ซอมบี้เกลื่อนเมืองก็ยังอยู่ได้เป็นสัปดาห์ๆ อะไรที่คิดว่า"น่าจะ"จำเป็นต้องใช้ หรือ "เผื่อ" จะได้ใช้นี่มีเต็มไปหมด ตอนสมัยไปเข้าค่ายลูกเสือ พี่เคยบอกว่าถึงขั้นจะขอมีดถางหญ้าไปด้วย (ไปเข้าค่ายที่โรงเรียน) หนักถึงขั้นใส่มาม่าเข้าไปนับลัง มีดปอกผลไม้ เชือก เข็มทิศ ห่าเหวอะไรไม่รู้อีกนับสิบ ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าไม่รู้จะใส่เข้าไปหาพระแสงอินเดียน่าโจนส์อะไรกันนักหนา สงสัยจะดูหนังประเภทสู้ชีวิตมากไป ไม่อารมณ์ติดอยู่ในสนามบิน เครื่องบินตก ไม่ก็กลัวโดนแท๊กซี่หลอกไปปล่อย 

พอหลังๆได้เดินทางบ่อยขึ้นจึงเริ่มคิดได้ ว่าเออ แม่งไอ่ที่เอาไปๆ(อ่านว่าเอาไป-เอาไปนะจ๊ะ ไม่ใช่ เอาไปไป) เนี่ยะ แม่งก็นอนกองอยู่นอกกระเป๋าตอนอยู่ที่ที่พัก ไม่ได้ทำคุณประโยชน์อะไรกับเจ้าของทั้งตอนไป ระหว่างไป และตอนกลับ นอกจากจะขวางที่ขวางทางแล้วมันยังไม่ช่วยทำตัวลีบๆให้เปลืองตัวน้อยลงอีกต่างหาก!!!! 

การเดินทางครั้งหลังๆ ของที่เอาไปจึงเริ่มน้อยลง เพราะเริ่มจำได้ว่ามีอะไรที่พกไปและไม่เคยได้ใช้ในการเดินทาง และเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มีที่สำหรับใส่ของตอนขากลับเยอะขึ้นกว่าเก่า ไอ่กระเป๋าที่เคยใช้เดินทางไซส์แบบที่จะใช้ไปเรียนที่ฮอกวอร์ตของผม จึงมีที่เหลือสำหรับใส่ของตอนขากลับและเวลาเดินทางรอบอื่นๆอีกบานตะไท จากที่ผมได้เคยไปชิมลางกับการเดินทางไปไต้หวันก่อนหน้าครั้งนี้แล้ว ผมจึงได้ทำการบ้านมาบ้างว่าควรและไม่ควรเตรียมอะไรไปบ้าง โดยได้จำแนกหัวข้อและวิธีการเลือกของเดินทางออกเป็นหลายๆหมวด และสามารถทำให้ใช้ได้ในหลายสถานการณ์ ตามที่เห็นข้างล่างนี้เลยครับ

กระเป๋าเดินทาง
แนะนำให้ใช้กระเป๋าที่มีทรง(เหลี่ยมๆ) ไม่ควรใช้แบบที่เป็นผ้าและกรีดง่าย เพราะเคยได้ยินข่าวที่อเมริกาว่าเค้ากรีดกระเป๋าแล้วยัดยาเข้าไปไว้ในกระเป๋า หลังจากนั้นด้วยความกลัวที่จะโดนจับเข้าห้องเย็นในแต่ละประเทศที่ไปจนตัวสั่น ผมจึงใช้กระเป๋าที่มีทรง(เหลี่ยมๆ) หรือกระเป๋าที่วัสดุภายนอกเป็นพลาสติกแข็งเพื่อตัดปัญหาวิตกจริตจากการโดนกรีด นอกจากนี้แล้ว ตอนเลือกผมจะเอากระเป๋าที่ติดท็อปในดวงใจมาชั่งน้ำหนัก เพราะว่าจะได้มีน้ำหนักเอาไว้ใส่ของเรามากขึ้นถ้าหากตัวกระเป๋าของเรามีน้ำหนักเบา

สำหรับระบบการล็อคกระเป๋า ผมใช้แบบรหัสล็อคมากกว่าการใช้กุญแจ เพราะว่าผมเป็นหนึ่งในคนบนดาวโลกนี้ที่มักจะดวง"ชง"กับปัญหากุญแจบ่อยมากกกกกกกกกก ถึงมากกกกที่สุด!!!!!! ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำกรรมHaอะไรไว้กับช่างทำกุญแจ จะเป็นบ่อยมากกับชอบล็อคกุญแจทิ้งไว้ในห้องบ้าง ในรถบ้าง บางทีถึงขั้นโดนคนทั้งบ้านสาปส่งเพราะดันมือบอนไปล็อคกุญแจห้องน้ำที่บ้านบ้างเป็นต้น เพื่อต้องการที่จะตัดปัญหาสาปส่งตัวเองที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ผมจึงใช้แบบรหัสเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหากุญแจ ส่วนรหัสบางทีก็จดไว้ในโทรศัพท์บ้างใช้เลขชุดที่ตัวเองจำได้บ้างเผื่อจะได้เบาแรงสมองอีก (แล้วก็ทำโทรศัพท์หาย ตึ่งโป๊ะ!)

อุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ
-มือถือเครื่องเดียวพร้อมสายชาร์จ
เพราะผมชอบใช้กล้องมือถือถ่ายรูป เนื่องจากความสะดวก บางทีผมจะพกสายชาร์จสำรองไปด้วยเผื่อสายไฟมันขาดใน
- แทรเวลเลอร์ปลั๊ก หรือที่เรียกกันว่ายูนิเวอซอลปลั๊ก หรือว่าปลั๊กเดินทาง (เอออนั่นแหล่ะ เข้าใจตรงกันนะ)
สำหรับเผื่อเอาไว้ไปแรดต่างประเทศ เพราะว่าปลั๊กของไต้หวันส่วนใหญ่จะใช้แบบข้างล่างนี้ ซึ่งบ้านเราก็ใช้ได้เช่นกัน สำหรับใครที่ซื้อปลั๊กหัวกลม แนะนำว่าให้เอา ปลั๊กพ่วงไปด้วยสักชุดก็ดี อันเล็กๆสามช่อง สะดวกมิใช่น้อยครับ




-คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค
ถ้าใครสนใจจะไปถอยโน๊ตบุ๊คใหม่ที่ประเทศไต้หวัน แบรนด์ที่ดังๆและขายกันอยู่จะเป็นแบรนด์ Asus กับ Acer ซึ่งเป็นแบรนด์ดังประจำชาติเค้า ซึ่งราคาหลายๆรุ่นจะถูกกว่า และมีให้เลือกหลากหลายมากกว่ารุ่นที่บ้านเราวางขายอยู่ ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์พวก แทบเล็ต หรือว่าตระกูลแผดๆโน๊ตๆทั้งหลายด้วย สำหรับคนที่พิมพ์ไทยไม่เก่งแนะนำให้ซื้อสติ๊กเกอร์แป้นพิมพ์ภาษาไทยติดไปด้วย และตอนไปซื้อสามารถสอบถามว่าเค้ามีราคาสำหรับนักศึกษาด้วยหรือเปล่า เพราะว่าหลายๆร้านจะให้ส่วนลดกับนักศึกษาเวลาซื้อ โดยอาจจะเป็นการลดราคาขายหรืออาจจะมีของแถมให้ด้วยจ้า
- กล้องถ่ายรูป
ถ้าเป็นคนชอบถ่ายรูป พวกเลนส์ต่างๆสามารถไปหาซื้อเพิ่มที่ไต้หวันได้ครับ หลายรุ่นหลายยี่ห้อ กูรูเพื่อนผมบอกว่าหลายรุ่น ราคาถูกกว่าบ้านเรา สำหรับเมมโมรี่การ์ดนั้นหาซื้อที่ไต้หวันได้ไม่ยาก ราคาถูกและไม่ต่างกับบ้านเรามากเช่นกันครับ
*เพิ่มเติม*สำหรับคนที่เล่นกล้องโพลารอยด์ของ Fuji (Fujistax) ผมคิดว่าฟิล์มที่ไต้หวันถูกกว่าบ้านเรา มาหาซื้อที่นี้ได้ครับ ของเล่นอุปกรณ์เสริมต่างๆเยอะมาก 

ยารักษาโรคหรือยาประจำตัว
ผมแนะนำให้พกไปเผื่อเกินจากวันที่เราจะไปสำหรับคนที่จะไปเที่ยว สำหรับคนที่จะไปเรียน พกไปให้พอจบเทอมแรก (ถ้าคิดจะกลับบ้าน) หรืออาจจะฝากเพื่อนซื้อตอนช่วงปิดตรุษจีนได้ครับ ซึ่งพกยาเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยพกยาไปทุกย่างที่มีขาย แก้หวัด แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ร้อนใน แก้แพ้ แก้ผิวหนังอักเสบ ถ่ายพยาธิ และอีกมากมาย สุดท้ายใช้ไม่หมด กลับมาก็ใช้ไม่หมด เลยต้องเอาทิ้งไปเพราะมันหมดอายุทุกยาเลยครับ -_-   

ยาสามัญส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ที่นี่ แต่ควรเตรียมชื่อเป็นภาษาอังกฤษ(ชื่อตัวยา) ไว้ด้วย เพราะว่าร้านยาที่นี่ เค้าจะมีชื่อเรียกตัวยาเป็นภาษาจีนครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเป็นผิวหนังอักเสบคันแขนไม่หยุด เลยตัดสินใจไปที่ร้านขายยา คุยกันรู้เรื่องมากกกก  ผมเลยได้ยาทาแก้คันยุงกัดมาหนึ่งหลอดถ้วน -_-“  จึงควรเตรียมไว้ให้เภสัชกรเค้าดู เค้าจะได้หยิบให้เราได้เลยครับผม
สำหรับคนที่ไปเรียน หลังจากที่อยู่ไปได้สักพัก เค้าจะให้เราทำบัตร National Health Insurance (NHI) ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาส่วนใหญ่ของเรา และค่าหมอค่ายา ถูกเว่อรรรร์!!! เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องพกยาสามัญไปเยอะครับ

เสื้อผ้า
ต้องดูว่าเราไปช่วงฤดูไหนของไต้หวันครับ เพราะว่าฤดูกาลของไต้หวัน จะเริ่มอากาศเย็นลงช่วงปลายๆเดือนกันยายนเป็นต้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองที่เราไปอยู่ อากาศหนาวแบบไต้หวันจะไม่ได้หนาวเหมือนยอดดอยของเราครับ แต่จะเป็นหนาวลม เพราะฉะนั้นเสื้อกันหนาวที่พกไป ผมแนะนำว่าควรเป็นเสื้อกันหนาวแบบที่กันลมด้วยและถ้าจะให้ดี สามารถกันน้ำได้นิดหน่อยจะดีมากครับ เพราะว่าไต้หวันเวลาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ฝนจะตกบ่อยมาก บางทีตกกัน 7 วันต่อสัปดาห์เลยก็มี เพราะฉะนั้นควรจะเตรียมเสื้อผ้าที่ไม่อมน้ำและกันลมไว้ด้วยครับ สำหรับคนที่ไปเรียน

ในช่วงฤดูร้อน อากาศจะร้อนถึงขั้นร้อนมากพอๆกับบ้านเรา แนะนำให้เตรียมกางเกงขาสั้นไปใส่เปลี่ยน แต่ต้องระวังเพราะว่าไต้หวันจะมีแมงหวี่ที่เค้าเรียกว่า เสี่ยวไฮเหวิน ซึ่งหน้าตามันจะเหมือนแมงหวี่ เสแสร้งมาตอมเราแบบใสๆ แต่เผลอปุ๊บมันจะกัดเราทันที นอกจากความคันที่มันแรงระดับ 8 ริกเตอร์ ยิ่งกว่ายุงธรรมดาแล้ว มันยังมีอาการคันเรื้อรังที่นานกว่ายุง แถมยัง

มหาวิทยาลัยที่ไต้หวันจะไม่มีเครื่องแบบเหมือนมหาวิทยาลัยบ้านเรา สามารถใส่อะไรไปเรียนก็ได้ แต่ผมขอแนะนำว่าให้ใส่รองเท้าผ้าใบไปเรียน และเห็นใจกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยครับ ถ้าใส่กางเกงบอลไปเรียนแล้วนั่งผิดท่า คนนั่งตรงข้ามอาจจะมีช็อคได้ หรือสาวๆที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น นอกจากจะรบกวนสมาธิเพื่อนร่วมชั้นแล้ว อาจจะรบกวนสมาธิอาจารย์ผู้สอนได้ แต่เวลามีนำเสนองานหรือ Presentation ควรจะใส่เสื้อมีปกและกางเกงขายาวในการนำเสนอ เพื่อความเป็นทางการและดูเป็นทางการครับ

ผมเตรียมกางเกงยีนส์ไป 3 ตัว
เสื้อยืด 7 ตัว
เสื้อกันหนาวแบบสวมหัว( Hoodie) 1 ตัว
เสื้อกันหนาวธรรมดา 1 ตัว
เสื้อกันหนาวกันลม 1 ตัว
กางเกงขาสั้น 3 ตัว
กุงเกงลิง 10 ตัว
ถุงเท้า 10 คู่
รองเท้ากีฬา 1 คู่
รองเท้าทางการ(สีดำ) 1 คู่
เสื้อสูท+กางเกงแสลค 1 ชุด
เสื้อเชิร์ต 3 ตัว
เสื้อโปโล 2 ตัว
ผมคิดว่าสำหรับเสื้อกันหนาวสำหรับหน้าหนาว ค่อยไปซื้อตอนที่ไปถึงเพราะว่าตอนที่ไปไม่รู้ว่าหน้าหนาวไต้หวันมันจะหนาวแค่ไหนยังไง เลยคิดว่าถ้าไปซื้อเสื้อกันหนาวแบบที่เค้าขายอยู่ น่าจะเข้าได้กับสภาพอากาศของประเทศเค้ามากกว่าเลยไม่ได้หอบไปเยอะครับ ผมคิดว่าควรมีการเตรียมชุดประจำชาติ หรือว่าเครื่องแต่งกายพื้นเมืองไปด้วย 1 ชุด เผื่อว่าต้องมีการแสดงความสามารถ หรือว่าเข้าร่วมงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม จะช่วยเป็นการโฆษณาวัฒนธรรมของชาติเราไปด้วยครับ (ผมพกขลุ่ยไปด้วย 1 เลาถ้วน)

อุปกรณ์การเรียน/เครื่องเขียน
ณ ตอนที่จัดกระเป๋าอยู่ ผมไม่รู้ว่าราคาเครื่องเขียนที่ไต้หวันมันราคาแพงมากน้อยต่างกับบ้านเรายังไง ผมเลยตัดสินใจที่จะเตรียมไปเผื่อใช้สำหรับหนึ่งเทอม แต่พอไปถึงแล้วถึงได้รู้ว่าราคาเครื่องเขียนบ้านเค้าแทบจะไม่ต่างกับบ้านเรา เผลอๆถ้าเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมหรือว่าลดราคา ราคายิ่งจะถูกกว่าบ้านเราเสียอีก และร้านค้าเหล่านี้จะมีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมประมาณ 1-5% ถ้าเราสมัครเป็นสมาชิกของร้าน และร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆหลายๆร้านของไต้หวัน เค้าจะไม่ขายแค่เครื่องเขียนอย่างเดียวแต่จะรวมไปถึงของขวัญและอุปกรณ์จิปาถะต่างๆซึ่งหลอกล่อให้เราเสียเงินได้อีกมาก ผมขอแนะนำให้สมัครสมาชิกตั้งแต่เริ่มใช้บริการไปเลยครับ เพราะว่าจะได้ใช้ให้คุ้มๆจนเรียนจบกันไปเลย
ร้านแฟรนชายส์ขายเครื่องเขียน 9x9

อาหารสำเร็จรูป/เครื่องปรุงพิเศษต่างๆ
บางคนกลัวว่าไปถึงแล้วอาหารจะไม่ถูกปากหรือว่า เป็นคนที่ทานอะไรได้ลำบากกว่าคนอื่นๆ เลยพกมาม่าหรือว่าซอสประจำตัวกันไปด้วยอยู่เยอะ ส่วนตัวผมคิดว่า ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปเที่ยว(เรียน)ต่างประเทศ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ผมจึงแนะนำว่าเอาไปแค่พอดี (แพคเล็กหรือกระปุกเล็กๆ) เผื่อเอาไว้แก้คิดถึงบ้าน(แก้จน)เป็นพักๆ คิดซะว่าได้ลองหัดกินอะไรที่บ้านเราไม่มีขาย ลิ้มรสอาหารต่างประเทศให้เต็มที่ จะได้ถือว่าไม่เสียเที่ยวที่เดินทางมาถึงต่างประเทศครับ

เครื่องดนตรี/อุปกรณ์กีฬา
ถ้าเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา เป็นนักกีฬา หรือเป็นนักดนตรี ผมแนะนำว่าควรเอาอุปกรณ์เครื่องมือของตัวเองมาด้วยครับ เพราะว่าจะได้สามารถไปเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัยได้ทันที และไม่ต้องเสียเงินสองต่อ ถ้าจะต้องไปซื้อใหม่ สำหรับอุปกรณ์กีฬาในไต้หวันราคาไม่ต่างกับบ้านเรามากครับ บางที่ถ้ามีงานลดราคามากๆ เผลอๆจะถูกกว่าบ้านเรา แต่สำหรับเครื่องดนตรี ถ้าเป็นคนที่เล่นเครื่องเป่า(ทองเหลือง) ที่นี่เค้ามีชื่อเสียงเรื่องของเครื่องเป่าทองเหลืองครับ อาจจะลองมาดูมาชมกันได้ ซึ่งจะเป็นงานที่ค่อนข้างดีแต่ราคาก็จะสูงไปด้วย เสียอย่างเดียวคือจะเป็นยี่ห้อท้องถิ่นซึ่งจะลำบากเวลาขายต่อ สำหรับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆนั้น ผมคิดว่าราคาค่อนข้างจะสูงเมื่อเทียบกับบ้านเราค่อนข้างเยอะ ผมจึงแนะนำให้นำเครื่องของตัวเองมาด้วยครับ

ดิกชันนารี หนังสือเรียนจีน คู่มือภาษาต่างๆ และหนังสือเรียน
เอามาแค่พอเอาชีวิตรอดในช่วงแรกๆครับ เพราะว่าหนังสือเรียนภาษาจีนของไต้หวันนั้นใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วทั้งประเทศ และสมุดคัด ดิกชันนารีต่างๆ(ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ-จีน) สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือครับ ไม่จำเป็นต้องแบกแบบเรียนของบ้านเรามาให้หนักเปล่าครับ สำหรับหนังสือ Textbook หรือว่าหนังสือเรียนวิชาต่างๆฉบับภาษาไทยนั้น ถ้าเป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจโดยละเอียดและใช้ศัพท์ทางเทคนิคนั้น แนะนำเอามาใช้อ้างอิงได้ครับ เพราะว่าสำหรับคนที่เรียนหลักสูตรภาษาจีนนั้น เค้าจะใช้ศัพท์ทุกอย่างเป็นภาษาจีนหมดเพราะฉะนั้นมีฉบับภาษาไทยติดมาด้วยจะดีมากครับ 

โดยแนะนำว่าแสกนแล้วใส่เป็นไฟล์มาจะลดภาระได้เยอะกว่าครับ สำหรับคนที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษและต้องการที่จะฝึกภาษาอังกฤษ ผมแนะนำว่ามัดมือชกด้วยการไม่พกอะไรมาเลยจะดีที่สุด เพราะจะเป็นการฝึก(แกมบังคับ)ให้เราได้หัดอ่านหัดแปล หัดเรียนภาษาอังกฤษไปในตัวด้วย ถ้าไม่เข้าใจค่อยเปิดเว็บหาคำแปลเป็นรายตัวเอา 5555
หนังสือเรียนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติในไต้หวัน
ทุกคนที่เคยเรียนภาษาจีนของไต้หวันต้องผ่านเล่มนี้มาทุกคนจ้า
(Practical Audio-Visual Chinese 1-5)


เครื่องสำอางเครื่องประทินโฉม
สำหรับในส่วนนี้นั้น เนื่องจากผมเป็นผู้ช๊ายผู้ชายย(จริงๆนะตัวเทอว์) ผมให้คำแนะนำให้แก่สาวเล็กสาวน้อยสาวใหญ่ทุกคนได้แค่เพียงว่า อาจจะลองกูเกิ้ลดูว่าแบรนด์ที่ตัวเองใช้มีขายที่ไต้หวันกันหรือเปล่า ถ้าเป็นกลุ่ม Skinfood, Face Shop,Etude ที่นี่ส่วนใหญ่จะมีหมด แต่สำหรับราคาที่ขายนั้น ต้องมาลองเช็คกันเอง เพราะเพื่อนสาว(หมายถึงเพื่อนที่เป็นผู้หญิงและยังเป็นสาวอยู่) บอกว่าของหลายๆอย่างมีราคาที่ไม่เหมือนกับประเทศไทย ผมแนะนำให้เตรียมมาเท่าที่จำเป็นก่อน แล้วถ้าจะซื้อเพิ่มยังไงค่อยตัดสินใจต่อทีหลังครับ
ร้านขายเครื่องใช้อุปโภค เครื่องสำอางแฟรนชายส์
แทบจะมีอยู่ทุกเมืองของไต้หวัน Poya

พอหลังจากที่เราได้คัดเลือกสิ่งของที่จะได้รับโอกาสไปท่องเที่ยวกับเราแล้วนั้น ช่วงที่สำคัญต่อมาไม่แพ้กันเลย คือการจัดกระเป๋าครับ ซึ่งผมเชื่อว่ามีหลายคน ต้องมีการเอามือลูบหน้า เกาหัว เกาแขน เกาขา เกาtootกับปัญหายัดของไม่เข้า ตัดใจไม่ลง ทิ้งของและความทรงจำไว้เหมือนเพลงสบู่ของแสตมป์ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ผมมักจะใช้เวลาเดินทางบ่อยๆ ซึ่งหลายๆคนอาจจะรู้อยู่แล้วหรืออาจจะไม่รู้นะครับผม ลองเอาไปใช้กันดู

1. เสื้อยืด: ม้วนมันเข้าไป ถ้ามีโลชั่น โรลออน น้ำหอม หรือว่าวัสดุที่แตกง่าย ถือโอกาสใช้มันเป็นตัวกันแตกได้ครับ
2. ข้างล่างสุด: เวลาเรียงลำดับการวาง เอาเป็นกางเกง ไล่จากยีนส์ แสลค แล้วก็กางเกงขาสั้น อาจจะเอาเสื้อกันหนาวปูแผ่รองไว้อีกทีก็ได้ เผื่อเวลาเค้าโยนกระเป๋า อย่างน้อยด้านก้นกระเป๋ายังมีพวกกางเกงช่วยรับแรงกระแทกได้
3. รองเท้า: สำหรับคนที่ใช้กระเป๋าที่สามารถลากได้ เอารองเท้าเข้าไปวางด้านตรงกันข้ามกับล้อ เพราะว่ารองเท้าจะได้ไม่ยับและไม่โดนกดได้ครับ (รองเท้าทางการของผู้ชาย) ถ้ามีหลายคู่อาจจะเก็บไว้รอใส่ด้านบนกระเป๋าทีหลังได้ครับ
4. ตรงกลาง: ใส่ชุดชั้นใน กุงเกงลิง เสื้อยืดที่ม้วนแล้ว อุปกรณ์อิเลคโทรนิค หยูกยา ของฝากอะไรก็ว่าไปที่มันเสี่ยงต่อการแตก หรือว่าขาด มาม่งมาม่า ยัดมันลงไปตรงนี้ ต้องระวังการม้วนดีๆ อย่าให้มันใหญ่เกินไปเพราะจะกลายเป็นเปลืองที่เอาครับ และถ้าเกิดเหตุที่เราต้องรื้อของกลางสนามบิน ลิงเราจะได้ไม่ออกมาวิ่งเล่นให้ธารกำนัลเห็นได้ครับ 
5. ด้านบน: ปูเสื้อกันหนาวทับลงไปเลยครับ ผมใช้มันเปนตัวกันกระแทกจากด้านบนของกระเป๋า และจะได้หยิบใช้ง่ายๆ เผื่อไปถึงแล้วอากาศมีการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน แล้วเอารองเท้ากีฬาที่ใส่ถุงพลาสติแล้ว หันด้านฝ่าเท้าออก แล้วก็ปิดกระเป๋าเลยครับ
6. ขั้นตอนสุดท้าย: ผมถ่ายสำเนาเอกสารที่สำคัญๆยัดไว้ที่กระเป๋าด้วยครับ เช่นพาสปอร์ตหรือว่าที่อยู่ที่ติดต่อได้นามบัตร ที่ถ้ากระเป๋าเกิดหลงขึ้นมา เราสามารถใช้เอกสารข้างในยืนยันว่าเป็นของเราได้ครับผม ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการจัดกระเป๋าของผมครับ
7. น้ำหนัก: ลองชั่งน้ำหนักกระเป๋าหลังจากที่แพคเสร็จแล้ว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำหนักกระเป๋าเราไม่เกินจากน้ำหนักที่แต่ละสายการบินกำหนดไว้ ผมแนะนำให้เช็คสายการบินด้วยว่า เค้าให้น้ำหนักเราเท่าไหร่ และสามารถเอาอะไรใส่กระเป๋าไปได้บ้าง เพราะว่าล่าสุดสายการบินบางสายจะไม่อนุญาตให้เอา Power Bank ใส่ไว้ในกระเป๋าที่ต้องโหลดลงใต้ท้องเครื่องต้องถือติดตัวไปด้วยครับ



พอหลังจากที่ทำการ ยัดของทุกอย่างลงในกระเป๋าแล้วหลังจากนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาของการเตรียมใจร้องเพลง Leaving on the jet plane รอเวลาถูกส่งออกไปนอกประเทศกัน หลายๆคนอาจจะคิดว่าโมเม้นต์แบบในหนัง เวลานางเอกวิ่งมาหาพระเอกที่หน้าเกท แล้วผู้ชายเปลี่ยนใจไม่ยอมเดินไปทางไปเรียนต่อ สโลว์โมวชั่นคว้าเจ้าหล่อนมากอดกันกลมอยู่หน้าเกทแล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกันอย่างมีความสุขตามสไตล์หนังฝรั่งเป็นเรื่องเพ้อฝันที่เกิดขึ้นในหนังเท่านั้น  

แต่ในความเป็นจริงนั้น มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงครับ มันจะมีฟิลลิ่งอารมรณ์เหมือนคืนก่อนแต่งงานของเจ้าสาวที่ฉุดคิดขึ้นมาว่ากุจะแต่งกับ ผู้ชายคนนี้จริงๆหรอ(วะ) นั่นแหล่ะ พอใกล้วันเดินทาง ถ้าเรายิ่งมีเวลาว่างมานั่งคิดมากเท่าไหร่ เราอาจจะเริ่มคิดมาก มากขึ้น ถึงขั้นว่า กุคิดถูกรึเปล่าที่จะไปเรียนต่อแทนที่จะหางาน บางคนขึ้นสมองไปถึงขั้นกลัวการนั่งเครื่องบิน กลัวว่ามันจะไปไม่ถึงดวงดาวบ้างอะไรบ้าง

ผมแนะนำว่าให้ไปเข้าวัดทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา เข้าโบสถ์ เข้ามัสยิด สงบสติอารมณ์และเตรียมใจสำหรับสิ่งที่กำลังรอเราอยู่ในอนาคต คิดซะว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ยังมีอีกหลายๆคนทีเค้าอยากเดินทางไปเรียนต่างประเทศ อยากนั่งเครื่องบิน อยากเรียนภาษา อยากทำอะไรอีกหลายๆอย่างที่เรากำลังจะมีโอกาสได้ทำแต่เค้าเหล่านั้นไม่มี ดังนั้นเราควรจะสนุกกับมันให้เต็มที่ ใช้โอกาสที่มีให้คุ้ม ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่อีกหน่อยจะได้เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้ในอนาคต(ถ้ามี)

ระหว่างที่ผมกำลังไปปล่อยปลาไหล ไล่ซื้อของฝากเตรียมไปให้เพื่อน(บัดดี้) ที่ทางมหาลัยเตรียมไว้ให้แล้วนั้น เวลาก็ผ่านไปจนเหลืออีกแค่ หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ผมจะเดินทางขึ้นเครื่อง แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า………..เห๊ยยยย กุยังไม่ได้เรียนภาษาจีนไปเลยหว่ะ!!!!!!!


Highlight summary:
- ไต้หวันใช้ไฟ 110v เอาของไทยมาใช้ได้ เอาของไต้หวันกลับไปใช้ไม่ได้
- ตรวจดูอากาศในฤดูที่ต้องไปให้ดี เพราะว่าอากาศเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
- ของบางอย่างถ้าจำเป็นอาจจะต้องแบกไป ของหลายอย่างไปหาซื้อที่นั่นได้
- อย่าลืมเตรียมเครื่องมือแปลภาษาไปด้วยหากไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนเลย
- การแพ็กกระเป๋าสำหรับไปอยู่ยาว



“Walk outside of your comfort zones and experience something new today”
 Marc Meyer


Puipui Adventure
#puipuiadventure

Credit รูป: From Google

ตามไปดูชีวิตไร้สาระของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure